วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สำนวนไทย

สำนวนไทย  มีอยูในภาษาพูดตั้งแต่ก่อนเรามีภาษาเขียนในสมัยสุโขทัย เมื่อเรามีภาษาเขียนจารึกเป็นหลักฐาน ข้อความในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมีสำนวนไทยปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ เช่น
                         -  เจ็บท้องข้องใจ  หมายถึง มีเรื่องเดือดร้อน
                         -  ไพร่ฟ้าหน้าใส   หมายถึง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข
                         -   เหย้าเรือนพ่อเชื้อเสื้อดำ   หมายถึง  ทรัพย์สมบัติ
             การที่มีภาษาเขียนครั้งแรก มีสำนวนไทยปรากฏทันที แสดงว่าสำนวนไทยเรามีใช้ในภาษาพูดอยู่ก่อนแล้ว
                ในสมัยนั้มีสุภาษิตพระร่วงเกิดขึ้นถึงแม้คำจะไม่ใช่ครั้งกรุงสุโขทัยทั้งหมด แต่ก็เชื่อว่ามีเค้าของเดิมอยู่มาก ซึ่งมีเนื้อหาเป็นสำนวนไทยที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันมากมายเช่น

                         -  เมื่อน้อยให้เรียนวิชา            ให้หาสินเมื่อใหญ่
                         -  อย่าใฝ่เอาทรัพย์ท่าน           อย่าริอ่านแก่ความ
                         -  ประพฤติตนตามบุรพระบอบ   เอาแต่ชอบเสียผิด
                         -  ที่รักอย่าดูถูก                     ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง
                         -  หว่านพืชจักเอาผล               เลี้ยงคนอย่ากินแรง

                ในหนังสือกฏมณเฑียรบาลของเก่ามีสำนวนไทยปรากฏอยู่ เช่น
                         -  ข้าวเหลือเกลืออิ่ม
                         -  ตีให้หลาบปราบให้กลัว
                         -  น้องก็ว่าจะจี่  พี่ก็ว่าจะเผา

        นอกจากนี้ในหนังสือวรรณคดีไทยเล่มสำคัญ ๆ ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมา เช่น ลิลิตพระลอ ลิลิตยวนพ่าย มหาเวสสันดรชาดก  ฯลฯ
 ล้วนมีถ้อยคำสำนวนไทยอยู่มากมาย


การแบ่งประเภท ของสำนวนสามารถแบ่งออกได้หลายอย่างด้วยกันแล้วแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น

คุณค่าสำนวนไทย
             ภาษาพูดหรือภาษาเขียนของชนแต่ละชาติย่อมจะมีอยู่ด้วยกันสองอย่างคือ พูดตรงไปตรงมาตามภาษาของตนเอง เป็นภาษาพูดที่ต่างคนต่างฟังเข้าใจกันได้ง่าย
              พูดเป็นชั้นเชิง มีการใช้โวหารในการพูดและการเขียน ทั้งนี้เพื่อให้ความหมายช้ดเจน หรือขยายความออกไป หรือเพื่อให้เกิดความไพเราะขึ้น เป็นภาษาที่เราเรียกว่า
"เล่นลิ้น" หรือ" พูดสำบัดสำนวน" สำนวนเหล่านั้นจะแสดงความหมายอยู่ในตัวประโยคนั้นเอง
ค่านิยม
            เพ็ญแข วัจนสุนทร ( เพ็ญแข 2522 )  กล่าวถึงค่านิยมของคนไทยไว้ว่า เมื่อเรายอมรับว่า ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และวัฒนธรรมคือวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของคนในสังคมอีกด้วย เราพอจะมองเห็นสิ่งที่คนในสังคมไทยยึดถือปฏิบัติจนกลายเป็นค่านิยมได้จากสุภาษิต  สำนวน และคำพังเพย  ที่พูดสืบต่อกันมาแต่โบราณกาล

ประโยชน์ในการศึกษาสำนวนโวหาร
                    1.    ทำให้ใช้ภาษาในการเขียน   ความเรียงต่างๆ ได้ดีขึ้น  เป็นการช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับความ      เรียงที่เขียนขึ้น
                    2.    ทำให้ได้คติสอนใจ  ในด้านต่างๆ  เช่น
                                   -  ด้านการเรียน  ตัวอย่างๆ  รู้ไว้ใช่ว่า  ใส่บ่าแบกหาม”  “ฝนทั่งให้เป็นเข็ม”  “ความรู้ท่วม  หัวเอาตัวไม่รอด

                                   -  ด้านการคบค้าสมาคม  ตัวอย่าง  คบคนให้ดูหน้า  ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ”  “คบเด็กสร้างบ้าน  คบหัวล้านสร้างเมือง

                                   -  ด้านการครองเรือน  ตัวอย่าง  ความในอย่านำออก  ความนอกอย่านำเข้า”  “ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่  ปลูกอู่ตามใจผู้นอน

                                   -  ด้านความรัก  ตัวอย่าง  ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน”  “รักยาวให้บั่น  รักสั้นให้ต่อ”  “รักวัวให้ผูก  รักลูกให้ตี

                  3.    ทำให้ทราบความเป็นอยู่ของคนในสังคม  ในสมัยที่เกิดสำนวนโวหารนั้น  ว่ามีความเป็นอยู่   อย่างไร  เช่น   อัฐยายซื้อขนมยาย”   “แบ่งสันปันส่วน”  “หมูไปไก่มา

                 4.    เป็นการรักษาวัฒนธรรมทางภาษาอันเป็นมรดกที่ล้ำค่าของไทยไว้ให้ลูกหลานภาคภูมิใจ
อดเปรี้ยวกินหวาน
- ให้ละทิ้งสิ่งที่ไม่ดีนั้นเสีย เพื่อรับเอาสิ่งที่ดีเข้าไว้ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาอดใจรออยู่นาน
อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น
- เมื่ออาศัยอยู่บ้านใคร ก็อย่าอยู่เปล่า ควรช่วยทำงานทำการให้เป็นประโยชน์ต่อเขาบ้าง
อัฐยายซื้อขนมยาย
- การได้รับประโยชน์หรือได้รับทรัพย์จากผู้ใดผู้หนึ่ง แล้วเอาทรัพย์นั้นมาใช้กับผู้นั้นต่อ
เอาจมูกคนอื่นมาหายใจ
- อาศัยความคิดหรือแรงของคนอื่นมาทำงานให้ตน
เอาใจเขามาใส่ใจเรา
- สำนวนนี้ มุ่งให้คำนึงว่า ควรจะมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน หรือนึกถึงอกเขาอกเราบ้าง ว่าตัวเราจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเขาทำอย่างนั้นกับเรา.
เอาทองไปรู้กระเบื้อง
- ลดตัวเองลงไปต่อสู้กับคนที่ต่ำศักดิ์กว่า โดยไม่คู่ควรกัน
อ้อยเข้าปากช้าง
- สิ่งที่หลุดลอยไปเป็นของคนอื่นแล้ว ก็ย่อมจะสูญหรือไม่มีทางจะได้คืนมาง่าย ๆ
อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่
- รู้เท่าทันคำพูดที่พูดออกมา
อาบน้ำต่างเหงื่อ
- ทำงานหนัก
อาบน้ำร้อนมาก่อน
- เกิดก่อนจึงได้รู้เห็นสิ่งต่างๆมามากกว่า
กบในกะลาครอบ
- คนที่ขาดวิสัยทัศน์มองเห็นแต่สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเท่านั้น
ตัวอย่าง
"เธออยู่แต่ในบ้าน ทีวีก็ไม่ดู หนังสือพิมพ์ก็ไม่ชอบอ่าน เหมือนกบในกะลาครอบ"กรวดน้ำคว่ำขัน
- ตัดขาดไม่คบค้าสมาคนด้วยอีกต่อไป
ตัวอย่าง
"เพื่อนตัวแสบโกงเงินฉันไปเป็นแสนๆ ฉันน่ะกรวดน้ำคว่ำขันเลย"
กระดูกร้องไห้
- การจับตัวฆาตกรมาลงโทษได้หลังจากพบหลักฐานโดยบังเอิญ
ตัวอย่าง
"คดีฆาตกรรมนี้เหมือนกระดูกร้องไห้เลยนะ ใครจะนึกว่าจะจับตัวฆาตกรได้ เรื่องล่วงเลยมาถึงสิบปีแล้ว"
กระต่ายตื่นตูม
- ตื่นกลัวเกินกว่าเหตุ
ตัวอย่าง
"เธออย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไปหน่อยเลย เรื่องมันยังไม่เกิด อาจไม่ร้ายแรงอย่างที่คิดก็ได้"

กระต่ายหมายจันทร์
- ชายที่หลงรักหญิงที่สูงส่งกว่าตนและไม่มีทางที่ความรักจะสมหวัง
ตัวอย่าง
"เขาทำตัวเป็นกระต่ายหมายจันทร์ หลงรักลูกสาวเศรษฐี คงจะสมหวังอยู่หรอก"
กระโถนท้องพระโรง
- ผู้ที่ใครๆก็ใช้งานได้ และเป็นที่ระบายอารมณ์ของทุกคน
ตัวอย่าง
"เอะอะก็มาลงที่ฉัน ฉันไม่ใช่กระโถนท้องพระโรงนะ"
กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้
- การทำอะไรสองอย่างพร้อมกันโดยไม่รอบคอบหรือชักช้า อาจเกิดความเสียหายได้
ตัวอย่าง
"ปัญหายาเสพติดในสถานศึกษากำลังรุนแรงขึ้น น่าจะมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหานี้ ไม่ใช่มัวแต่รอให้ครูสอนให้นักเรียนตระหนักถึงโทษของยาเสพติด เด็กอาจติดยาไปแล้ว กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้"
กินน้ำใต้ศอก
- เสียเปรียบ จำต้องเป็นรอง คอบรับเดนคนอื่น
ตัวอย่าง
"ถึงจะรักเขามากแค่ไหนฉันก็ไม่ยอมกินน้ำใต้ศอกใคร "
กินน้ำเห็นปลิง
- ตะขิดตะขวงใจเมื่อจะทำอะไรซักอย่าง
ตัวอย่าง
"จะให้เราเลือกเขาเป็นศิษย์เก่าดีเด่นได้อย่างไร มันเหมือนกินน้ำเห็นปลิงเพราะรู้ทั้งรู้ว่าเขาฉ้อราษฎร์บังหลวง"
เกลือเป็นหนอน
- คนในบ้านหรือพวกเดียวกัน คิดคดทรยศ
ตัวอย่าง
"แผนการที่เราวางไว้ฝ่ายตรงข้ามรู้หมด สงสัยเกลือเป็นหนอน